“กทท.” ลุยจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ นำร่อง 3 เส้นทางใหม่

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 ม.ค. ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติและแนวทางการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย โดยมีผู้บริหาร พนักงาน กทท. หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มนักลงทุน ผู้ใช้บริการ ผู้ประกอบการขนส่งทางน้ำ และกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ เข้าร่วมงานฯคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นายเกรียงไกร เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการศึกษาโครงการทั้ง4ด้านแล้วเสร็จ ได้แก่ 1.รูปแบบจัดตั้งและรูปแบบบริหารสายเดินเรือแห่งชาติ สัดส่วนผู้ร่วมถือหุ้นภาครัฐ/เอกชน ที่เป็นไปได้ไม่ขัดแย้งต่อกฎหมายและการดำเนินงาน 2.เส้นทางการเดินเรือ 3.แผนการตลาด การลงทุน และ 4.ความคุ้มค่าต่อระบบเศรษฐกิจและการลงทุน จากนั้น กทท. จะนำผลการศึกษาดังกล่าวนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคมภายในเดือน มี.ค.นี้ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติต่อไป

ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการบริหารสายการเดินเรือแห่งชาติควรเน้นการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในสัดส่วนไม่เกิน25%ทำให้มีความเหมาะสมและคล่องตัวในการบริหารงานที่เกี่ยวข้องในด้านการตัดสินใจที่รวดเร็ว เป็นการดึงจุดเด่นของภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางชายฝั่งของไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น ซึ่งก็มีกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุนให้ความสนใจร่วมลงทุนในธุรกิจสายการเดินเรือแห่งชาติจำนวนหลายราย

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้มีเส้นทางการเดินเรือภายในประเทศพบว่า9เส้นทางที่มีความเหมาะสม สามารถเปลี่ยนจากการขนส่งทางบกมาสู่ทางน้ำได้ ในจำนวนนี้มี3เส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุน เป็นเส้นทางใหม่ ไม่ทับซ้อนกับเส้นทางที่มีเอกชนดำเนินการอยู่ก่อนหน้า โดยมีผลตอบแทนทางการลงทุนอยู่ที่7.71%ประกอบด้วย เส้นทางท่าเรือมาบตาพุด (ระยอง)-ท่าเรือแหลมฉบัง (ชลบุรี) เส้นทางท่าเรือไฟร์ซัน (สมุทรสงคราม)-ท่าเรือแหลมฉบัง(ชลบุรี) และเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง (ชลบุรี)-ท่าเรือสุราษฎร์ธานีคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ด้านเส้นทางการเดินเรือต่างประเทศนั้นได้พิจารณารูปแบบการให้บริการเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศออกเป็น2ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่1 (First Phase)เป็นบริการเดินเรือไม่ประจำเส้นทาง (Tramp Service)ให้บริการขนส่งสินค้าประเภทเทกอง(Bulk Cargo)คาดการณ์ส่วนแบ่งปริมาณสินค้าที่จะมาใช้บริการสายการเดินเรือแห่งชาติ2%คิดเป็น1.2ล้านตัน ขีดความสามารถในการให้บริการจำเป็นต้องจัดหาเรือประเภท (1)เรือขนาดHandy Maxขนาด32,000เดทเวทตัน จำนวน3ลำ ให้บริการปีละ8รอบ (2)เรือขนาดSupra Maxขนาด50,000เดทเวทตันจำนวน2ลำ ให้บริการปีละ5รอบ

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ระยะที่2 (Second Phase)เป็นการให้บริการเดินเรือบรรทุกตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ (Container Service)ให้บริการในเส้นทางเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง) อาเซียน (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม) และกลุ่มประเทศBIMSTEC (อินเดียและเมียนมา) ประเภทสินค้าที่ส่งออกจากไทย รวมปริมาณส่งออก20.0ล้านตัน สำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศรวมปริมาณนำเข้า9.1ล้านตัน เบื้องต้นคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่จะมาใช้บริการเรือบรรทุกตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ของบริษัทสายการเดินเรือแห่งชาติร้อยละ2ของการส่งออก และนำเข้า คิดเป็นจำนวนสินค้าคอนเทนเนอร์31,005 TEUSขนาดของเรือที่จะเข้ามาให้บริการเป็นเรือตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ขนาด1,500 TEUS (Feeder Size)จำนวน4ลำ แต่ละลำทำรอบหมุนเวียน8รอบต่อปี

นอกจากนี้ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการเดินเรือประจำเส้นทางในเส้นทางชายฝั่งของไทยภายในปีแรกของการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ โดยในปัจจุบันภาพรวมการขนส่งทางน้ำภายในประเทศมีประมาณ 10 ล้านTEUSต่อปี คาดหวังว่า เมื่อเปิดให้บริการสายการเดินเรือแห่งชาติแล้ว จะมีประมาณ 10% หรือ 1 ล้านTEUSต่อปี และผลักดันภาพรวมการขนส่งทางน้ำขึ้นเป็น 20 ล้านTEUSต่อปี ในระยะ 5-10 ปี นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการขนส่งสินค้าด้วยเรือไม่ประจำเส้นทางในเส้นทางระหว่างประเทศได้ภายใน 4 ปีแรกของการจัดตั้งด้วย

นายเกรียงไกร กล่าวด้วยว่าส่วนการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อเข้ามาลงทุนในสายการเดินเรือแห่งชาตินั้น อยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 (5) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง พ.ร.บ. ก่อนส่งให้ ครม. พิจารณาอีกครั้งต่อไป โดยสาระสำคัญของการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวในครั้งนี้ เพื่อให้ กทท. สามารถเข้าไปลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง รวมทั้งการบริหารทรัพย์สินของ กทท. ด้วย

โครงการดังกล่าว กทท. ได้จ้างบริษัท ทรานส์คอนซัลท์ จำกัด และศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติและแนวทางการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการส่งเสริมพาณิชยนาวีและส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางน้ำ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าชายฝั่งภายในประเทศและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเรือที่ชักธงไทย เสริมศักยภาพการแข่งขันลดการขาดดุลค่าระวางเรือให้กับเรือไทย ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำให้เกิดความคุ้มค่า สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาค ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจการให้บริการของ กทท. สร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินเรือของไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สนับสนุนให้เกิดการลงทุนในธุรกิจเดินเรือพาณิชย์ เสริมสร้างศักยภาพระบบพาณิชยนาวีและโลจิสติกส์ เพื่อการค้าทางทะเลของไทยอย่างครบวงจร

By admin